วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

ปวดหลังขับรถ จะปรับเบาะอย่างไรดี

ปวดหลังขับรถ จะปรับเบาะอย่างไรดี

ขับรถ

สรุปประเด็นโดยกระปุกดอทคอม

          หลายคนมีอาการปวดหลังทุกครั้ง โดยเฉพาะยามที่ต้องขับรถไปไหนไกล ๆ ก็แสนจะทรมาน วันนี้ ดร.คีรินท์ เมฆโหรา คณะกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ให้คำแนะนำผ่านเว็บไซต์หมอชาวบ้าน ถึงวิธีการปรับเบาะ และท่านั่งที่ถูกต้องเมื่อยามจะขับรถ มาดูกันเลยค่ะ

ข้อเท็จจริง ที่ต้องรู้ก่อนการปรับเบาะ
          ก่อนที่จะปรับเบาะควรพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ เพื่อนำไปใช้ประยุกต์ ก่อนที่จะทำการปรับ

          1.ร่างกายไม่ชอบที่จะอยู่ท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ หากจำเป็นต้องอยู่นาน ๆ ท่านั้นต้องเป็นท่าที่สบายที่สุด

          2. หลังไม่ชอบที่จะอยู่ในท่าโค้งหรือมีการบิดตัว เพราะในท่าเหล่านั้น กล้ามเนื้อและเอ็นด้านหลังจะถูกยืดนาน ๆ หมอนรองกระดูกสันหลังจะมีแรงกดมากกว่าในท่านั่งหลังตรง หรือท่ายืนตรง

          3.บ่า และไหล่ ไม่ชอบให้ศีรษะอยู่ในท่าก้มหรือเงยมากไป เพราะจะทำงานหนักขึ้น เช่นเดียวกันกับถ้าต้องยกแขนสูง ๆ โดยสังเกตได้ว่า กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ต้องเกร็งตัวขึ้น

          4.เส้นประสาทหลัง และขา ไม่ชอบอยู่ในท่าที่ตึง ๆ นาน ๆ  ท่าที่ทำให้เส้นประสาทตึง คือท่าที่นั่งเป็นรูปตัวแอล (L) หรือยืนก้มตัวโดยให้ขาตรง

          5.ความเมื่อยล้าของสายตา และความเครียดมีผลต่ออาการเกร็งของกล้ามเนื้อ

เมื่อต้องปรับเบาะ...อย่างปลอดภัย

          เมื่อต้องขับรถ มีอุปกรณ์หลายอย่างที่สามารถปรับได้ เช่น กระจกมองข้าง กระจกส่องหลัง เบาะและพวงมาลัย อุปกรณ์เหล่านี้อาจไม่ต้องมีการปรับบ่อย หากรถนั้นใช้เพียงคนเดียว แต่อย่างไรก็ตามควรปรับให้เหมาะสม และตรวจดูความเหมาะสมของอุปกรณ์เหล่านี้ทุกครั้งก่อนขับรถ โดยอาศัยหลักการดังต่อไปนี้

1.ปรับระยะนั่งใกล้ ไกล ก่อนเป็นอันดับแรก

          โดยให้ขาเหยียบคันเร่งพอดี และสามารถขยับเท้ามาเหยียบเบรกได้ง่ายและรวดเร็ว  และระยะห่างนี้ต้องไม่ทำให้เข่า และสะโพกงอมากนัก เพราะการงอมากของเข่า และสะโพก จะทำให้กระดกข้อเท้าได้ลำบาก ทำให้ต้องยกขาเมื่อต้องขยับเท้าไปมา ขณะเดียวกันการเหยียดขามากไป จะทำให้ตัวและขาอยู่ในรูปคล้ายตัวแอล ซึ่งมีผลต่อการเหยียบเบรกและคันเร่งเช่นกัน คือแรงจะลดลง เพราะสามารถใช้ปลายเท้าเหยียบได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้แรงจากเข่าและสะโพกได้

          ร่างกายที่อยู่ในรูปตัวแอล จะมีผลทำให้หลังส่วนล่างโค้งมาก และเส้นประสาทสันหลังและขาตึงตัวมาก จะมีผลเสียคือ กล้ามเนื้อล้าง่าย ด้านหน้าของหมอนรองกระดูกมีแรงกดมาก ทำให้หมอนรองกระดูกมีโอกาสปลิ้นไปด้านหลังสูง ท่านั่งนี้จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงท่านั่งนี้ ที่เราอาจพบได้บ่อยในผู้ที่ใช้เก๋งเตี้ย ๆ

2.การปรับความเอียงของเบาะพิงหลัง

          จะมีความสัมพันธ์กับการปรับใกล้ไกล มุมการมอง และการจับพวงมาลัย คือเมื่อปรับขาให้พอดี ตัวอาจจะห่างไป ทำให้ต้องปรับเบาะพิงชันขึ้นมา แต่การปรับเบาะชันขึ้นมา อาจมีผลทำให้หลังและขาเป็นรูปคล้ายตัวแอลดังข้อ 1 แต่ก็มีข้อดีเมื่อตัวตั้งตรง คือ ทำให้ไม่ต้องงอคอมากนัก บ่าและคอจึงไม่เมื่อย ดังนั้นความเอียงของเบาะควรอยู่ในระดับที่เมื่อขับรถแล้ว ไม่มีความรู้สึกว่า ต้องใช้แรงในการยกคอและศีรษะขึ้นมาตั้งตรง

3.ปรับการเอียงของเบาะนั่ง

มีความจำเป็นอีกเช่นกัน เพราะหากเบาะนั่งให้มีการชันตัวมาก จะมีผลทำให้เกิดการกดของด้านหน้าของเบาะ ต่อด้านหลังเข่าของผู้ขับขี่ ซึ่งด้านหลังเข่านี้ มีหลอดเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก หากมีการกดทับจะทำให้เกิดอาการชา และอ่อนแรงของขาได้ ดังนั้นควรปรับให้เบาะด้านหน้าสูงพอที่ระรับน้ำหนักขาได้ โดยที่ขาไม่ลอยสูงจากเบาะ (ลักษณะเข่าชัน)  และเมื่อขับรถและมีการกดคันเร่งค้างนาน ๆ ด้านหน้าของเบาะต้องไม่กดหลังเข่า

4.ปรับความสูงต่ำของเบาะ

          โดยเฉพาะรถใหม่ ๆ มักจะสามารถปรับได้ หลาย ๆ คนอาจมองว่าไม่เกิดประโยชน์ เพราะตัวสูงอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่ตัวสูงก็ต้องใช้ เพราะถ้าเบาะเตี้ย จะทำให้ต้องปรับเบาะรถห่างจากพวงมาลัยมากขึ้นส่งผลต่อการงอของหลัง การปรับเบาะรถให้สูงขึ้น จะมีผลทำให้ท่านั่งขับรถคล้ายกับการนั่งเก้าอี้มากขึ้น ดังเห็นได้จากรถตู้หรือรถ MPV ที่มักต้องนั่งขับในท่าหลังตรง ๆ และแน่นอนท่านี้ศีรษะและคอก็จะอยู่ในแนวตรง ไม่จำเป็นต้องงอคอขึ้นมา และในผู้ที่ตัวไม่สูง ก็สามารถปรับความสูงของเบาะ เพื่อให้เหยียบถนัดขึ้น

5.ปรับมุมของพวงมาลัย จะขึ้นอยู่กับการปรับเบาะต่าง ๆ ด้วย

          ให้ปรับทุกอย่างเสร็จแล้วค่อยมาปรับพวงมาลัย แต่ถ้าปรับพวงมาลัยสุดแล้วยังรู้สึกไม่พอดี ต้องปรับจากข้อ 1 ถึง 4 ใหม่อีกครั้ง ตำแหน่งและระยะการจับพวงมาลัยมีความสำคัญมาก เพราะมีผลต่อการควบคุมพวงมาลัยของรถ ทำให้บังคับรถได้ง่ายหรือยากได้  ระยะและระดับที่เหมาะสมคือ ระยะที่เมื่อวางมือแล้ว สามารถหมุนพวงมาลัยได้คล่อง ไม่มีการติดขัดหรือมีความรู้สึกว่าต้องเอื้อม ขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ต้องไม่เกร็ง เพื่อที่จะถือแขนให้อยู่กับพวงมาลัยนาน ๆ

6.การปรับระยะพวงมาลัยเข้าใกล้หรือไกล

          รถรุ่นใหม่ ๆ อาจสามารถปรับระยะใกล้ หรือไกลของพวงมาลัยได้ คือเราสามารถดึงพวงมาลัยเข้าใกล้หรือผลักออกไปไกลได้ การปรับนี้มีข้อดี ที่เมื่อปรับระยะใกล้ ไกล และปรับพนักพิงแล้ว อาจทำให้แขนต้องเอื้อมจับ หรือแขนอยู่ชิดพวงมาลัยมากเกินไป การปรับนี้จะช่วยให้เราสามารถจับพวงมาลัยได้ถนัดขึ้น

7.ปรับกระจกส่องข้างและหลัง

          จะเป็นการปรับหลังสุด หลังจากปรับส่วนอื่น ๆ เสร็จแล้ว โดยยึดหลักการที่ว่า เมื่อนั่งโดยไม่ต้องขยับศีรษะหรือโยกตัว เราสามารถมองเห็นในจุดที่เราต้องการได้ หากการมองยังมีจุดบอดแสดงว่า อาจต้องใช่อุปกรณ์เสริม เช่น ติดกระจกส่องหลังบานใหญ่ขึ้น หรือกระจกโค้ง เพื่อให้เห็นได้ครอบคลุมขึ้น แต่อาจมีผลเรื่องการกะระยะบ้าง เพราะภาพจากประจกโค้งจะหลอกตา

          หลักการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ต้องอยู่ภายใต้คำว่า ความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย หากปรับให้สบายตัว แต่ไม่ปลอดภัยก็ไม่ถือว่าเป็นการปรับที่ดี ทั้งนี้ขอให้ปรับเมื่อ รถอยู่นิ่ง ไม่ควรปรับเมื่อรถวิ่งอยู่ โดยเฉพาะการเลื่อนเบาะและปรับมุมพนักพิง ที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้ และดังที่กล่าวไว้ว่าร่างกายไม่ชอบอยู่ในท่าทางที่นาน ๆ แม้ว่าท่านจะได้ท่านั่งที่ดีและเบาะนั่งที่เหมาะกับตัวท่านแล้ว ร่างกายยังต้องการการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ

          ดังนั้น ให้หยุดพักบ่อย ๆ เมื่อขับรถทางไกล ให้ลงจากรถมายืดเส้นยืดสาย ล้างหน้า จะได้หายจากความเมื่อยล้า และความเครียด หากทำได้เช่นนี้ท่านจะมีความสนุกกับการขับรถ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น