ปวดหลังขับรถ จะปรับเบาะอย่างไรดี
สรุปประเด็นโดยกระปุกดอทคอม
หลายคนมีอาการปวดหลังทุกครั้ง โดยเฉพาะยามที่ต้องขับรถไปไหนไกล ๆ ก็แสนจะทรมาน วันนี้ ดร.คีรินท์ เมฆโหรา คณะกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ให้คำแนะนำผ่านเว็บไซต์หมอชาวบ้าน ถึงวิธีการปรับเบาะ และท่านั่งที่ถูกต้องเมื่อยามจะขับรถ มาดูกันเลยค่ะ
ข้อเท็จจริง ที่ต้องรู้ก่อนการปรับเบาะ
ก่อนที่จะปรับเบาะควรพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ เพื่อนำไปใช้ประยุกต์ ก่อนที่จะทำการปรับ
เมื่อต้องปรับเบาะ...อย่างปลอดภัย
เมื่อต้องขับรถ มีอุปกรณ์หลายอย่างที่สามารถปรับได้ เช่น กระจกมองข้าง กระจกส่องหลัง เบาะและพวงมาลัย อุปกรณ์เหล่านี้อาจไม่ต้องมีการปรับบ่อย หากรถนั้นใช้เพียงคนเดียว แต่อย่างไรก็ตามควรปรับให้เหมาะสม และตรวจดูความเหมาะสมของอุปกรณ์เหล่านี้ทุกครั้งก่อนขับรถ โดยอาศัยหลักการดังต่อไปนี้
โดยให้ขาเหยียบคันเร่งพอดี และสามารถขยับเท้ามาเหยียบเบรกได้ง่ายและรวดเร็ว และระยะห่างนี้ต้องไม่ทำให้เข่า และสะโพกงอมากนัก เพราะการงอมากของเข่า และสะโพก จะทำให้กระดกข้อเท้าได้ลำบาก ทำให้ต้องยกขาเมื่อต้องขยับเท้าไปมา ขณะเดียวกันการเหยียดขามากไป จะทำให้ตัวและขาอยู่ในรูปคล้ายตัวแอล ซึ่งมีผลต่อการเหยียบเบรกและคันเร่งเช่นกัน คือแรงจะลดลง เพราะสามารถใช้ปลายเท้าเหยียบได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้แรงจากเข่าและสะโพกได้
ร่างกายที่อยู่ในรูปตัวแอล จะมีผลทำให้หลังส่วนล่างโค้งมาก และเส้นประสาทสันหลังและขาตึงตัวมาก จะมีผลเสียคือ กล้ามเนื้อล้าง่าย ด้านหน้าของหมอนรองกระดูกมีแรงกดมาก ทำให้หมอนรองกระดูกมีโอกาสปลิ้นไปด้านหลังสูง ท่านั่งนี้จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงท่านั่งนี้ ที่เราอาจพบได้บ่อยในผู้ที่ใช้เก๋งเตี้ย ๆ
จะมีความสัมพันธ์กับการปรับใกล้ไกล มุมการมอง และการจับพวงมาลัย คือเมื่อปรับขาให้พอดี ตัวอาจจะห่างไป ทำให้ต้องปรับเบาะพิงชันขึ้นมา แต่การปรับเบาะชันขึ้นมา อาจมีผลทำให้หลังและขาเป็นรูปคล้ายตัวแอลดังข้อ 1 แต่ก็มีข้อดีเมื่อตัวตั้งตรง คือ ทำให้ไม่ต้องงอคอมากนัก บ่าและคอจึงไม่เมื่อย ดังนั้นความเอียงของเบาะควรอยู่ในระดับที่เมื่อขับรถแล้ว ไม่มีความรู้สึกว่า ต้องใช้แรงในการยกคอและศีรษะขึ้นมาตั้งตรง
มีความจำเป็นอีกเช่นกัน เพราะหากเบาะนั่งให้มีการชันตัวมาก จะมีผลทำให้เกิดการกดของด้านหน้าของเบาะ ต่อด้านหลังเข่าของผู้ขับขี่ ซึ่งด้านหลังเข่านี้ มีหลอดเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก หากมีการกดทับจะทำให้เกิดอาการชา และอ่อนแรงของขาได้ ดังนั้นควรปรับให้เบาะด้านหน้าสูงพอที่ระรับน้ำหนักขาได้ โดยที่ขาไม่ลอยสูงจากเบาะ (ลักษณะเข่าชัน) และเมื่อขับรถและมีการกดคันเร่งค้างนาน ๆ ด้านหน้าของเบาะต้องไม่กดหลังเข่า
โดยเฉพาะรถใหม่ ๆ มักจะสามารถปรับได้ หลาย ๆ คนอาจมองว่าไม่เกิดประโยชน์ เพราะตัวสูงอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่ตัวสูงก็ต้องใช้ เพราะถ้าเบาะเตี้ย จะทำให้ต้องปรับเบาะรถห่างจากพวงมาลัยมากขึ้นส่งผลต่อการงอของหลัง การปรับเบาะรถให้สูงขึ้น จะมีผลทำให้ท่านั่งขับรถคล้ายกับการนั่งเก้าอี้มากขึ้น ดังเห็นได้จากรถตู้หรือรถ MPV ที่มักต้องนั่งขับในท่าหลังตรง ๆ และแน่นอนท่านี้ศีรษะและคอก็จะอยู่ในแนวตรง ไม่จำเป็นต้องงอคอขึ้นมา และในผู้ที่ตัวไม่สูง ก็สามารถปรับความสูงของเบาะ เพื่อให้เหยียบถนัดขึ้น
ให้ปรับทุกอย่างเสร็จแล้วค่อยมาปรับพวงมาลัย แต่ถ้าปรับพวงมาลัยสุดแล้วยังรู้สึกไม่พอดี ต้องปรับจากข้อ 1 ถึง 4 ใหม่อีกครั้ง ตำแหน่งและระยะการจับพวงมาลัยมีความสำคัญมาก เพราะมีผลต่อการควบคุมพวงมาลัยของรถ ทำให้บังคับรถได้ง่ายหรือยากได้ ระยะและระดับที่เหมาะสมคือ ระยะที่เมื่อวางมือแล้ว สามารถหมุนพวงมาลัยได้คล่อง ไม่มีการติดขัดหรือมีความรู้สึกว่าต้องเอื้อม ขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ต้องไม่เกร็ง เพื่อที่จะถือแขนให้อยู่กับพวงมาลัยนาน ๆ
รถรุ่นใหม่ ๆ อาจสามารถปรับระยะใกล้ หรือไกลของพวงมาลัยได้ คือเราสามารถดึงพวงมาลัยเข้าใกล้หรือผลักออกไปไกลได้ การปรับนี้มีข้อดี ที่เมื่อปรับระยะใกล้ ไกล และปรับพนักพิงแล้ว อาจทำให้แขนต้องเอื้อมจับ หรือแขนอยู่ชิดพวงมาลัยมากเกินไป การปรับนี้จะช่วยให้เราสามารถจับพวงมาลัยได้ถนัดขึ้น
จะเป็นการปรับหลังสุด หลังจากปรับส่วนอื่น ๆ เสร็จแล้ว โดยยึดหลักการที่ว่า เมื่อนั่งโดยไม่ต้องขยับศีรษะหรือโยกตัว เราสามารถมองเห็นในจุดที่เราต้องการได้ หากการมองยังมีจุดบอดแสดงว่า อาจต้องใช่อุปกรณ์เสริม เช่น ติดกระจกส่องหลังบานใหญ่ขึ้น หรือกระจกโค้ง เพื่อให้เห็นได้ครอบคลุมขึ้น แต่อาจมีผลเรื่องการกะระยะบ้าง เพราะภาพจากประจกโค้งจะหลอกตา
หลักการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ต้องอยู่ภายใต้คำว่า ความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย หากปรับให้สบายตัว แต่ไม่ปลอดภัยก็ไม่ถือว่าเป็นการปรับที่ดี ทั้งนี้ขอให้ปรับเมื่อ รถอยู่นิ่ง ไม่ควรปรับเมื่อรถวิ่งอยู่ โดยเฉพาะการเลื่อนเบาะและปรับมุมพนักพิง ที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้ และดังที่กล่าวไว้ว่าร่างกายไม่ชอบอยู่ในท่าทางที่นาน ๆ แม้ว่าท่านจะได้ท่านั่งที่ดีและเบาะนั่งที่เหมาะกับตัวท่านแล้ว ร่างกายยังต้องการการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ
ดังนั้น ให้หยุดพักบ่อย ๆ เมื่อขับรถทางไกล ให้ลงจากรถมายืดเส้นยืดสาย ล้างหน้า จะได้หายจากความเมื่อยล้า และความเครียด หากทำได้เช่นนี้ท่านจะมีความสนุกกับการขับรถ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น