รู้จัก ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก wikipedia
ไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย เป็นโรคที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย และพบได้ทั่วโลก แต่จะพบบ่อยในภูมิประเทศเขตร้อน แน่นอนว่าในประเทศไทยเองก็เช่นกัน วันนี้ กระปุกดอทคอม จึงมีเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับ ไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย มาบอกต่อกันค่ะ
ไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย (Typhoid fever; Enteric fever) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลล่า ไทฟี่ ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ผ่านการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น อาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาหารที่ทำให้เกิดโรคคือ อาหารจำพวกนม หอย ไข่ เนื้อสัตว์
หลังจากเชื้อซาลโมเนลล่า ไทฟี่เข้าสู่ร่างกายแล้ว จะใช้ระยะฟักตัวอยู่ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นเชื้อจะแพร่เข้าสู่กระแสเลือด และกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
โดยทั่วไปแล้วการดำเนินโรคไทฟอยด์ แบ่งออกเป็น 4 ระยะ กินเวลาระยะละประมาณ 1 สัปดาห์ โดยสัปดาห์แรก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ทานยาลดไข้ไม่หาย ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย
หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา โรคจะดำเนินสู่ระยะที่ 2 คือ ไข้จะขึ้นสูง 40 องศา หัวใจเต้นช้า เพ้อ บางครั้งผู้ป่วยอาจกระสับกระส่าย หรืออาจปรากฎจุดแดงคล้ายุงกัดที่หน้าอกส่วนล่างและท้อง เกิดอาการท้องเสียถ่ายบ่อยเป็นสีเขียว ม้ามและตับโตกว่าปกติ กดแล้วเจ็บบริเวณใต้ชายโครงขวา หรือท้องน้อยด้านขวา
เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 3 ผู้ป่วยจะพบภาวะแทรกซ้อนทั้งตกเลือดในลำไส้ แต่ที่น่ากลัวก็คือ จะมีอาการลำไส้เล็กส่วนปลายทะลุ ซึ่งอาการนี้เป็นอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง และทำให้เสียชีวิตได้ โดยไม่มีอาการใด ๆ เตือนล่วงหน้า นอกจากนี้ ในบางคนอาจเป็นสมองอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ และมีฝีกระจายทั่วตัว จากนั้นในช่วงปลายของระยะที่ 3 ไข้จะเริ่มลดลงแล้ว แต่อาการยิ่งทรุดหนักไปจนถึงระยะที่ 4
อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยรายใดไม่มีอาการแทรกซ้อน แล้วรักษาได้ทัน ก็จะสามารถหายเป็นปกติได้ แต่ร่างกายผู้ป่วยจะผ่ายผอมและทรุดโทรมลงอย่างมาก ต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนาน
หากสงสัยว่าเป็นไทฟอยด์ แพทย์จะซักประวัติ และตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจเลือด โดยอาจพบเชื้อนี้จากการเพาะเชื้อจากตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ หรืออุจจาระของผู้ป่วย
อุบัติการณ์ของโรคไทฟอยด์
สีแดง : ระบาดมาก , สีส้ม : ระบาด , สีเทา : กระจัดกระจาย
สำหรับโรคไทฟอยด์นั้น หากตรวจพบเร็ว ก็สามารถรักษาให้หายได้ทันท่วงที โดยการรักษามีดังนี้
เราสามารถป้องกันโรคไทฟอยด์ได้ง่าย ๆ ด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น