วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วิธีถนอมดวงตา

ถนอมผิวรอบดวงตา

ถนอมผิวรอบดวงตา

ผิวสวย

ถนอมผิวรอบดวงตา
(woman plus)

          1.ทำความสะอาดรอบดวงตา โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ใช้อยู่ประจำก็เพียงพอ แต่สาว ๆ ที่แต่งหน้า และดวงตาเป็นประจำ ก็ควรใช้โลชั่นเช็ดเครื่องสำอางโดยเฉพาะ ก่อนเช็ดก่อนล้างหน้าตามปกติ

          2.ครีมสำหรับรอบดวงตา ถ้ามีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวรอบๆ ดวงตาของคุณให้สดใสขึ้น หรือถ้ามีส่วนผสมของ คาโมมายล์ ก็จะช่วยลดการระคายเคืองของดวงตาได้ดี

          3.ครีมบำรุงดวงตาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ และวิตามินบี จะช่วยซ่อมแซมผิว และช่วยปกป้องผิวจากริ้วรอย

          4.ควรใช้ครีมสำหรับดวงตาโดยเฉพาะ ไม่ควรใช้ครีมสำหรับผิวหน้า มาทารอบดวงตา เพราะมีความเข้มข้นสูงกว่า และมีส่วนผสมของน้ำหอม อาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองได้

          5.ก่อนออกจากบ้าน ควรใช้ครีมรอบดวงตา ชนิดเจลใส เพราะเนื้อเจลที่บางเบากว่าชนิดครีม สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ และควรเลือกเจลที่มีมีส่วนผสมของวิตามิน และสารกันแดด เพื่อป้องกันริ้วรอยและดวงตาคล้ำ

          6.หลีกเลี่ยงแดดจัด ต้นเหตุหลักของการเกิดริ้วรอย

          7.พักผ่อนดวงตา และผิวรอบดวงตา อย่างเต็มที่ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง โดยการใช้ครีมทารอบด้วยตา ทารอบดวงตา แล้วใช้สำลีชุบน้ำเย็นหมาดๆ ปิดที่ดวงตาทิ้งไว้ 5-10 นาที ระหว่างรอก็ นวดเบา ๆ ที่เปลืองตาไปด้วย โดยเริ่มนวดเบา ๆ ที่หัวตา ไล่ไปยังหางตาค่ะ นวดแบบนี้สัก 5 รอบ รับรองว่าจะรู้สึกสบาย ผ่อนคลายค่ะ

ไอซีที ส่อเสียค่าโง่ มือถือ เปิดช่องเอกชนสะดวกจ่าย

ไอซีที ส่อเสียค่าโง่ มือถือ เปิดช่องเอกชนสะดวกจ่าย



‘ไอซีที’ส่อเสียค่าโง่‘มือถือ’เปิดช่องเอกชนสะดวกจ่าย (ไทยโพสต์)

          ค่าเสียหาย 3 ค่ายมือถือกำลังกลายเป็น "ค่าโง่" หลังปลัดไอซีทีเปิดช่องเอาใจเอกชนเต็มรูป บอกไม่ต้องจ่ายเต็ม พร้อมให้เสนอทางเลือกมา อ้างเฉยไม่อยากกระทบผู้ใช้ บรรยากาศลงทุน? "นักวิชาการ" ชี้ส่อแววมวยล้ม


          มติคณะรัฐมนตรีที่มอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ไปเจรจากับผู้ได้รับสัมปทานมือถือในเรื่องค่าเสียหายรวมเกือบแสนล้านบาทภายใน 15 วัน อาจกลายเป็นค่าโง่ของภาครัฐแล้ว

          เมื่อนางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงไอซีที ในฐานะประธานคณะกรรมการเจรจา 3 ผู้ให้บริการมือถือ กล่าวว่า การเจรจาที่จะเกิดขึ้นต้องอยู่บนพื้นฐานที่เอกชนยอมรับได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าเอกชนไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายทั้งหมด หรือเสนอแนวทางที่เอกชนพอใจ และรัฐบาลรับได้ เพราะรัฐไม่ได้ต้องการทำให้เอกชนเสียหาย เพราะคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ใช้บริการเป็นหลัก รวมถึงบรรยากาศการลงทุน ผลกระทบทางธุรกิจ ซึ่งหากรัฐไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ คณะกรรมการเจรจาคงไม่เกิดขึ้น และคงเรียกค่าเสียหายตามความเห็นของคณะกรรมการมาตรา 22 และ 13 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) ที่เสนอให้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอกชนรวมมูลค่าเกือบแสนล้านบาทไปแล้ว

          "การเจรจาจะเริ่มจากการแก้ไขสัญญาที่ไม่ถูกต้อง และสร้างความเสียหายให้รัฐเท่าไร แล้วนำมูลค่าความเสียหายมาถกกับเอกชนว่าจะชดใช้จุดนี้ยังไง ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนโต๊ะเจรจา จึงยังไม่สามารถแจงรายละเอียดตอนนี้ แต่เชื่อว่าทั้งหมดจะจบลงด้วยดี" นางจีราวรรณกล่าว

          เธอระบุว่า จุดประสงค์ของการเจรจา เพื่อทำให้การแก้ไขสัญญาที่ไม่ถูกต้องเข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมายที่ถูกต้อง เพราคณะกรรมการมีตัวแทนของฝ่ายกฎหมายอยู่แล้ว และไม่ว่าผลเจรจาครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ครม.จะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

          ด้านนายอานุภาพ ถิรลาภ นักวิชาการอิสระด้านสื่อสารและสารสนเทศ มองเรื่องนี้ว่า หากรัฐมองว่าเอกชนผิดจริงก็ไม่จำเป็นต้องตั้งคณะเจรจาแต่อย่างใด โดยควรเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายทันที และไม่ควรใช้แนวทางผ่อนส่งค่าเสียหายตามที่นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีไอซีทีเสนอด้วย

          "กลัวว่างานนี้จะเป็นมวยล้มต้มคนดู ลิเกหลงโรง หรือจับคนเป็นมาเป็นตัวประกัน เพราะที่ผ่านมาเอกชนไม่เคยยอมรับว่าผิดแล้ว อยู่ดี ๆ จะมาเจรจาเรื่องความเสียหาย ซึ่งเรื่องนี้หากรัฐบาลมองว่าผิดจริงก็ควรทำทุกอย่างให้กระจ่าง เพื่อไม่ให้สำนวนอ่อน เพราะถ้าเป็นเช่นนี้เรื่องถึงขั้นฟ้องร้องรัฐก็มีโอกาสแพ้สูง" นายอานุภาพกล่าว และว่า รัฐยังควรเร่งดำเนินการในเรื่องของสัมปทานดาวเทียมไทยคมที่ยังมีปัญหาอยู่ด้วย
          ในขณะที่นายจุติกล่าวถึงปัญหาสัมปทานดาวเทียมไทยคมว่า อีก 1-2 สัปดาห์น่าจะนำผลสรุปจากคณะกรรมการมาตรา 22 บรรจุในวาระเพื่อให้ ครม.พิจารณาได้ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการมาตรา 22 ที่มีนายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ รองปลัดกระทรวงไอซีทีเป็นประธาน อยู่ระหว่างการสรุปข้อมูล

          โดยที่ผ่านมาคณะกรรมการฯ ได้เสนอแนวทางการแก้ไข 3 ข้อ คือ 


          1. ให้ไทยคมคืนเงินประกันค่าสินไหม 6.7 ล้านดอลลาร์ที่ได้จากที่ดาวเทียมไทยคม 3 เสียหาย และต้องปลดระวางก่อนกำหนดมาให้ไอซีที

          2. กรณีการยิงไอพีสตาร์ ซึ่งไม่ใช่ดาวเทียมสำรองไทยคม 3 สำนักงานกิจการอวกาศ ต้องประสานงานไปยังบริษัทว่าต้องจัดสร้างดาวเทียมสำรองไทยคม 3 ที่มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง และยิงดาวเทียมสำรองดวงใหม่

          3. การปรับลดสัดส่วนถือหุ้นจาก 51% เหลือ 40% โดยไม่ผ่าน ครม.นั้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ต้องกลับไปถือครองหุ้นในสัดส่วนเท่าเดิมคือ 51

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

ทายความรู้สึกในความฝันของคุณ

ทายความรู้สึกในความฝันของคุณ

รถยนต์




ทายความรู้สึกในความฝันของคุณ (Teenpath)
                ถ้าคุณกำลังฝันอยู่ คุณคิดว่าคุณเดินทางโดยพาหนะใดในความฝันนั้น โดยคุณเลือกพาหนะมา 1 ข้อ จาก 7 ข้อนี้ค่ะ
                   1. รถยนต์คันโปรด สะดวกดี
                   2. รถตู้ ขนพรรคพวกไปด้วย
                   3. รถทัวร์ดีกว่า สบายที่สุด
                   4. เรือ ช้าแต่เพลินดี
                   5. รถไฟ ได้บรรยากาศ
                   6. เครื่องบิน ทันอกทันใจ
                   7. บอลลูน แปลกดี


         มาดูเฉลยข้อที่คุณเลือกกันค่ะ



         รถยนต์

                บางสิ่งที่คุณไม่พอใจนักในช่วงนี้ ก็คือนิสัยหรือพฤติกรรมบางอย่างของคุณเอง คุณมีความรู้สึกอยากจะเปลี่ยนแปลงมันเสียที อยากจะปรับปรุงให้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้

         รถตู้

                คุณกำลังรู้สึกอยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ของคุณกับมิตรสหาย และบรรดาคนรอบข้างรอบกายทั้งหลาย ความสัมพันธ์ของคุณกับผู้อื่น เป็นสิ่งที่ทำให้คุณเป็นกังวลและอยากจัดการมันเสียใหม่

         รถทัวร์

                คุณกำลังเบื่อหน่ายอะไร ๆ หลายอย่าง ที่คุณจำเป็นต้องทำอยู่เป็นกิจวัตรประจำวันในช่วงนี้ คุณรู้สึกไม่ค่อยพอใจและไม่เป็นสุขนัก คุณคาดหวังว่าควรจะมีการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว อาจจะเป็นอาชีพการงานหรืออะไรก็ตามที่ต้องทำซ้ำ ๆ จำเจอยู่ในช่วงนี้

         เรือ

                บางสิ่งที่คุณกำลังรู้สึกไม่ค่อยพอใจนักในช่วงนี้ ก็คือรูปแบบวิถีชีวิตของคุณนั่นเอง คุณอยากเปลี่ยนแปลงสไตล์การดำเนินชีวิตเสียใหม่อย่างที่ใจอยาก เพราะคุณเริ่มรู้สึกไม่สนุกกับวันคืนแบบเดิม ๆ อีกต่อไปแล้ว

         รถไฟ

                ในระยะนี้คุณกำลังไม่พอใจกับสถานการณ์ในชีวิตของคุณเอง คุณรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันผิดที่ผิดทาง คุณรอคอยและคาดหวังให้มีโอกาสดี ๆ ผ่านมาให้ไขว่คว้า

         เครื่องบิน

                บางสิ่งที่คุณรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก ก็คือจุดหมายปลายทางที่คุณวาดหวังไว้คุณกำลังรู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนแปลง เป้าหมายใหม่ คุณอยากก้าวไกลไปคว้าความ สำเร็จโดยเร็ว ความทะเยอทะยานของคุณสูงล้น และคุณจะไม่มีความสุขถ้ายังยืนอยู่ ณ ที่เดิม

         บอลลูน

                คุณกำลังอยากเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนรัก คุณรู้สึกต้องการความเป็นอิสระ คุณปรารถนาอารมณ์ฝันและจินตนาการที่ไร้ขอบเขต

ครีมกันแดด เลือกและใช้ อย่างไร

ครีมกันแดด เลือกและใช้ อย่างไร



  1.           ไม่ว่าจะฤดูไหน ๆ เมืองไทยของเราก็ร้อน และมีแดดเสมอเลยค่ะ สาว ๆ ก็เลยต้องดูแลผิวหน้ากันเป็นพิเศษหน่อยนะคะ จะได้สาว สวย ใส ไปนาน ๆ ในเรื่องนี้เราขออนุญาต ไม่แนะนำยี่ห้อของครีมกันแดดนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าเป็นการโฆษณาแนะนำสินค้า เอาเป็นว่ามาลองอ่านวิธีเลยใช้ครีมกันแดดกันดีกว่าค่ะ
          เวลาคุณสาว ๆ ไปเลือกซื้อครีมกันแดดสิ่งที่จะเห็นอย่างแรก ๆ ก็คือค่า SPF ค่ะ อย่างเช่น SPF 15, SPF 30 แต่ใช่ว่ายิ่งค่าสูงจะดีเสมอไปนะคะ ค่า SPF บ่งบอกถึงระยะเวลาในการปกป้องแสงแดดค่ะ มีวิธีคำนวณง่าย ๆ โดยปกติถ้าหาคุณสาว ๆ ไม่ทาครีมกันแดดผิวจะเริ่มไหม้ และทาหากเราทาครีมกันแดด SPF 15 ก็หมายถึง 15X15 เท่ากับครีมดังกล่าวสามารถกันแดดได้ 225 นาทีค่ะ แต่ถ้าคุณสาว ๆ ตัวเลข SPF สูง ๆ ก็จะดีกว่าก็ไม่จริงเสมอไปค่ะ เพราะครีมที่มี SPF สูงจะเหนียวและเหลือสารตกค้างได้มากกว่า ทำให้เกิดสิว และริ้วรอยได้ ที่เหมาะสมที่สุดก็เป็น SPF 15 ค่ะ
          และนอกจากค่า SPF แล้วควรดูที่สามารถป้องกันได้ทั้ง รังสียูวีเอและยูวีบี โดยดูได้จากค่า PA (Protection of UV-A) มาพร้อมกับเครื่องหมาย + ที่ช่วยป้องกันรังสียูวีเอ เช่น PA+++ ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องอยู่กลางแจ้งถูกแดดนานค่ะ
          และการใช้ครีมกันแดด ก่อนออกแดดราว 15-30 นาที ก็ควรทาครีมกันแดดก่อนค่ะ ไม่ควรทาให้หนาหรือบางจนเกินไป และถ้าหากเป็นไปได้แนะนำว่าสาว ๆ ควรเลี่ยงช่วงเวลาที่มีแดดจัดคือช่วงเวลา 10.00 น – 16.00 น. ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรกางร่ม สวมหมวก หรือไม่ก็เลือกเสื้อผ้าที่สามารถลดการโดนแดดได้ค่ะ
          สำหรับกีฬา อย่างว่ายน้ำ สาว ๆ ควรเลือกชนิดของครีมกันแดดเป็นแบบ Water-resistant หรือ Waterproof จะช่วยป้องกันการชะล้างได้ดีขึ้นค่ะ
          ถ้าคุณสาว ๆ โดนแดดแรง ๆ เป็นเวลานาน จะทำให้ผิวหมอง คล้ำเสียง ก็ให้บำรุงด้วยครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ และไวท์เทนนิ่ง จะช่วยได้ค่ะแต่ถ้าโดนแดดมาเป็นเวลานาน จนผิวคล้ำเสียเกินกว่าครีมบำรุงจะช่วยได้ สาว ๆ คงต้องพึ่งวิทยาการสมัยใหม่ที่เห็นผลรวดเร็วอย่างเทคโนโลยี IPL หรือ AHA Treatment แล้วละค่ะ
          คราวนี้สาว ๆ ก็ได้รู้จักวิธีสู้แดด อย่างถูกต้องกันแล้ว อย่าเพิ่ง
(woman plus)
ครีมกันแดด เลือกและใช้ อย่างไร



         

         

ปวดหลังขับรถ จะปรับเบาะอย่างไรดี

ปวดหลังขับรถ จะปรับเบาะอย่างไรดี

ขับรถ

สรุปประเด็นโดยกระปุกดอทคอม

          หลายคนมีอาการปวดหลังทุกครั้ง โดยเฉพาะยามที่ต้องขับรถไปไหนไกล ๆ ก็แสนจะทรมาน วันนี้ ดร.คีรินท์ เมฆโหรา คณะกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ให้คำแนะนำผ่านเว็บไซต์หมอชาวบ้าน ถึงวิธีการปรับเบาะ และท่านั่งที่ถูกต้องเมื่อยามจะขับรถ มาดูกันเลยค่ะ

ข้อเท็จจริง ที่ต้องรู้ก่อนการปรับเบาะ
          ก่อนที่จะปรับเบาะควรพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ เพื่อนำไปใช้ประยุกต์ ก่อนที่จะทำการปรับ

          1.ร่างกายไม่ชอบที่จะอยู่ท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ หากจำเป็นต้องอยู่นาน ๆ ท่านั้นต้องเป็นท่าที่สบายที่สุด

          2. หลังไม่ชอบที่จะอยู่ในท่าโค้งหรือมีการบิดตัว เพราะในท่าเหล่านั้น กล้ามเนื้อและเอ็นด้านหลังจะถูกยืดนาน ๆ หมอนรองกระดูกสันหลังจะมีแรงกดมากกว่าในท่านั่งหลังตรง หรือท่ายืนตรง

          3.บ่า และไหล่ ไม่ชอบให้ศีรษะอยู่ในท่าก้มหรือเงยมากไป เพราะจะทำงานหนักขึ้น เช่นเดียวกันกับถ้าต้องยกแขนสูง ๆ โดยสังเกตได้ว่า กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ต้องเกร็งตัวขึ้น

          4.เส้นประสาทหลัง และขา ไม่ชอบอยู่ในท่าที่ตึง ๆ นาน ๆ  ท่าที่ทำให้เส้นประสาทตึง คือท่าที่นั่งเป็นรูปตัวแอล (L) หรือยืนก้มตัวโดยให้ขาตรง

          5.ความเมื่อยล้าของสายตา และความเครียดมีผลต่ออาการเกร็งของกล้ามเนื้อ

เมื่อต้องปรับเบาะ...อย่างปลอดภัย

          เมื่อต้องขับรถ มีอุปกรณ์หลายอย่างที่สามารถปรับได้ เช่น กระจกมองข้าง กระจกส่องหลัง เบาะและพวงมาลัย อุปกรณ์เหล่านี้อาจไม่ต้องมีการปรับบ่อย หากรถนั้นใช้เพียงคนเดียว แต่อย่างไรก็ตามควรปรับให้เหมาะสม และตรวจดูความเหมาะสมของอุปกรณ์เหล่านี้ทุกครั้งก่อนขับรถ โดยอาศัยหลักการดังต่อไปนี้

1.ปรับระยะนั่งใกล้ ไกล ก่อนเป็นอันดับแรก

          โดยให้ขาเหยียบคันเร่งพอดี และสามารถขยับเท้ามาเหยียบเบรกได้ง่ายและรวดเร็ว  และระยะห่างนี้ต้องไม่ทำให้เข่า และสะโพกงอมากนัก เพราะการงอมากของเข่า และสะโพก จะทำให้กระดกข้อเท้าได้ลำบาก ทำให้ต้องยกขาเมื่อต้องขยับเท้าไปมา ขณะเดียวกันการเหยียดขามากไป จะทำให้ตัวและขาอยู่ในรูปคล้ายตัวแอล ซึ่งมีผลต่อการเหยียบเบรกและคันเร่งเช่นกัน คือแรงจะลดลง เพราะสามารถใช้ปลายเท้าเหยียบได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้แรงจากเข่าและสะโพกได้

          ร่างกายที่อยู่ในรูปตัวแอล จะมีผลทำให้หลังส่วนล่างโค้งมาก และเส้นประสาทสันหลังและขาตึงตัวมาก จะมีผลเสียคือ กล้ามเนื้อล้าง่าย ด้านหน้าของหมอนรองกระดูกมีแรงกดมาก ทำให้หมอนรองกระดูกมีโอกาสปลิ้นไปด้านหลังสูง ท่านั่งนี้จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงท่านั่งนี้ ที่เราอาจพบได้บ่อยในผู้ที่ใช้เก๋งเตี้ย ๆ

2.การปรับความเอียงของเบาะพิงหลัง

          จะมีความสัมพันธ์กับการปรับใกล้ไกล มุมการมอง และการจับพวงมาลัย คือเมื่อปรับขาให้พอดี ตัวอาจจะห่างไป ทำให้ต้องปรับเบาะพิงชันขึ้นมา แต่การปรับเบาะชันขึ้นมา อาจมีผลทำให้หลังและขาเป็นรูปคล้ายตัวแอลดังข้อ 1 แต่ก็มีข้อดีเมื่อตัวตั้งตรง คือ ทำให้ไม่ต้องงอคอมากนัก บ่าและคอจึงไม่เมื่อย ดังนั้นความเอียงของเบาะควรอยู่ในระดับที่เมื่อขับรถแล้ว ไม่มีความรู้สึกว่า ต้องใช้แรงในการยกคอและศีรษะขึ้นมาตั้งตรง

3.ปรับการเอียงของเบาะนั่ง

มีความจำเป็นอีกเช่นกัน เพราะหากเบาะนั่งให้มีการชันตัวมาก จะมีผลทำให้เกิดการกดของด้านหน้าของเบาะ ต่อด้านหลังเข่าของผู้ขับขี่ ซึ่งด้านหลังเข่านี้ มีหลอดเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก หากมีการกดทับจะทำให้เกิดอาการชา และอ่อนแรงของขาได้ ดังนั้นควรปรับให้เบาะด้านหน้าสูงพอที่ระรับน้ำหนักขาได้ โดยที่ขาไม่ลอยสูงจากเบาะ (ลักษณะเข่าชัน)  และเมื่อขับรถและมีการกดคันเร่งค้างนาน ๆ ด้านหน้าของเบาะต้องไม่กดหลังเข่า

4.ปรับความสูงต่ำของเบาะ

          โดยเฉพาะรถใหม่ ๆ มักจะสามารถปรับได้ หลาย ๆ คนอาจมองว่าไม่เกิดประโยชน์ เพราะตัวสูงอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่ตัวสูงก็ต้องใช้ เพราะถ้าเบาะเตี้ย จะทำให้ต้องปรับเบาะรถห่างจากพวงมาลัยมากขึ้นส่งผลต่อการงอของหลัง การปรับเบาะรถให้สูงขึ้น จะมีผลทำให้ท่านั่งขับรถคล้ายกับการนั่งเก้าอี้มากขึ้น ดังเห็นได้จากรถตู้หรือรถ MPV ที่มักต้องนั่งขับในท่าหลังตรง ๆ และแน่นอนท่านี้ศีรษะและคอก็จะอยู่ในแนวตรง ไม่จำเป็นต้องงอคอขึ้นมา และในผู้ที่ตัวไม่สูง ก็สามารถปรับความสูงของเบาะ เพื่อให้เหยียบถนัดขึ้น

5.ปรับมุมของพวงมาลัย จะขึ้นอยู่กับการปรับเบาะต่าง ๆ ด้วย

          ให้ปรับทุกอย่างเสร็จแล้วค่อยมาปรับพวงมาลัย แต่ถ้าปรับพวงมาลัยสุดแล้วยังรู้สึกไม่พอดี ต้องปรับจากข้อ 1 ถึง 4 ใหม่อีกครั้ง ตำแหน่งและระยะการจับพวงมาลัยมีความสำคัญมาก เพราะมีผลต่อการควบคุมพวงมาลัยของรถ ทำให้บังคับรถได้ง่ายหรือยากได้  ระยะและระดับที่เหมาะสมคือ ระยะที่เมื่อวางมือแล้ว สามารถหมุนพวงมาลัยได้คล่อง ไม่มีการติดขัดหรือมีความรู้สึกว่าต้องเอื้อม ขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ต้องไม่เกร็ง เพื่อที่จะถือแขนให้อยู่กับพวงมาลัยนาน ๆ

6.การปรับระยะพวงมาลัยเข้าใกล้หรือไกล

          รถรุ่นใหม่ ๆ อาจสามารถปรับระยะใกล้ หรือไกลของพวงมาลัยได้ คือเราสามารถดึงพวงมาลัยเข้าใกล้หรือผลักออกไปไกลได้ การปรับนี้มีข้อดี ที่เมื่อปรับระยะใกล้ ไกล และปรับพนักพิงแล้ว อาจทำให้แขนต้องเอื้อมจับ หรือแขนอยู่ชิดพวงมาลัยมากเกินไป การปรับนี้จะช่วยให้เราสามารถจับพวงมาลัยได้ถนัดขึ้น

7.ปรับกระจกส่องข้างและหลัง

          จะเป็นการปรับหลังสุด หลังจากปรับส่วนอื่น ๆ เสร็จแล้ว โดยยึดหลักการที่ว่า เมื่อนั่งโดยไม่ต้องขยับศีรษะหรือโยกตัว เราสามารถมองเห็นในจุดที่เราต้องการได้ หากการมองยังมีจุดบอดแสดงว่า อาจต้องใช่อุปกรณ์เสริม เช่น ติดกระจกส่องหลังบานใหญ่ขึ้น หรือกระจกโค้ง เพื่อให้เห็นได้ครอบคลุมขึ้น แต่อาจมีผลเรื่องการกะระยะบ้าง เพราะภาพจากประจกโค้งจะหลอกตา

          หลักการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ต้องอยู่ภายใต้คำว่า ความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย หากปรับให้สบายตัว แต่ไม่ปลอดภัยก็ไม่ถือว่าเป็นการปรับที่ดี ทั้งนี้ขอให้ปรับเมื่อ รถอยู่นิ่ง ไม่ควรปรับเมื่อรถวิ่งอยู่ โดยเฉพาะการเลื่อนเบาะและปรับมุมพนักพิง ที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้ และดังที่กล่าวไว้ว่าร่างกายไม่ชอบอยู่ในท่าทางที่นาน ๆ แม้ว่าท่านจะได้ท่านั่งที่ดีและเบาะนั่งที่เหมาะกับตัวท่านแล้ว ร่างกายยังต้องการการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ

          ดังนั้น ให้หยุดพักบ่อย ๆ เมื่อขับรถทางไกล ให้ลงจากรถมายืดเส้นยืดสาย ล้างหน้า จะได้หายจากความเมื่อยล้า และความเครียด หากทำได้เช่นนี้ท่านจะมีความสนุกกับการขับรถ

รู้จัก ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย

รู้จัก ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย


ไข้รากสาดน้อย ไทฟอยด์


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก wikipedia

          ไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย เป็นโรคที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย และพบได้ทั่วโลก แต่จะพบบ่อยในภูมิประเทศเขตร้อน แน่นอนว่าในประเทศไทยเองก็เช่นกัน วันนี้ กระปุกดอทคอม จึงมีเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับ ไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย มาบอกต่อกันค่ะ

          ไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย (Typhoid fever; Enteric fever) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลล่า ไทฟี่ ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ผ่านการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น อาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาหารที่ทำให้เกิดโรคคือ อาหารจำพวกนม หอย ไข่ เนื้อสัตว์

อาการของผู้ป่วย ไทฟอยด์

          หลังจากเชื้อซาลโมเนลล่า ไทฟี่เข้าสู่ร่างกายแล้ว จะใช้ระยะฟักตัวอยู่ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นเชื้อจะแพร่เข้าสู่กระแสเลือด และกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

          โดยทั่วไปแล้วการดำเนินโรคไทฟอยด์ แบ่งออกเป็น 4 ระยะ กินเวลาระยะละประมาณ 1 สัปดาห์ โดยสัปดาห์แรก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ทานยาลดไข้ไม่หาย ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย

          หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา โรคจะดำเนินสู่ระยะที่ 2 คือ ไข้จะขึ้นสูง 40 องศา หัวใจเต้นช้า เพ้อ บางครั้งผู้ป่วยอาจกระสับกระส่าย หรืออาจปรากฎจุดแดงคล้ายุงกัดที่หน้าอกส่วนล่างและท้อง เกิดอาการท้องเสียถ่ายบ่อยเป็นสีเขียว ม้ามและตับโตกว่าปกติ กดแล้วเจ็บบริเวณใต้ชายโครงขวา หรือท้องน้อยด้านขวา

          เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 3 ผู้ป่วยจะพบภาวะแทรกซ้อนทั้งตกเลือดในลำไส้ แต่ที่น่ากลัวก็คือ จะมีอาการลำไส้เล็กส่วนปลายทะลุ ซึ่งอาการนี้เป็นอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง และทำให้เสียชีวิตได้ โดยไม่มีอาการใด ๆ เตือนล่วงหน้า นอกจากนี้ ในบางคนอาจเป็นสมองอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ และมีฝีกระจายทั่วตัว จากนั้นในช่วงปลายของระยะที่ 3 ไข้จะเริ่มลดลงแล้ว แต่อาการยิ่งทรุดหนักไปจนถึงระยะที่ 4

          อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยรายใดไม่มีอาการแทรกซ้อน แล้วรักษาได้ทัน ก็จะสามารถหายเป็นปกติได้ แต่ร่างกายผู้ป่วยจะผ่ายผอมและทรุดโทรมลงอย่างมาก ต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนาน

การวินิจฉัย โรคไทฟอยด์

          หากสงสัยว่าเป็นไทฟอยด์ แพทย์จะซักประวัติ และตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจเลือด โดยอาจพบเชื้อนี้จากการเพาะเชื้อจากตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ หรืออุจจาระของผู้ป่วย

ไข้รากสาดน้อย ไทฟอยด์
อุบัติการณ์ของโรคไทฟอยด์
สีแดง : ระบาดมาก , สีส้ม : ระบาด , สีเทา : กระจัดกระจาย

การรักษา โรคไทฟอยด์

          สำหรับโรคไทฟอยด์นั้น หากตรวจพบเร็ว ก็สามารถรักษาให้หายได้ทันท่วงที โดยการรักษามีดังนี้

          1. ผู้ป่วยต้องพักผ่อนให้เพียงพอ หากมีอาการท้องเดิน อาเจียนเล็กน้อย ให้ดื่มน้ำมาก ๆ เช่นน้ำเกลือแร่ ทานอาหารเหลว เช่น น้ำแกง ข้าวต้ม เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป แต่หากผู้ป่วยไข้ขึ้นสูงมาก ชัก หรืออาเจียนมาก ควรเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

          2. หากผู้ป่วยอาการดีขึ้น ภายใน 4 ชั่วโมง เริ่มให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม หลังจากดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อช่วยให้ลำไส้ได้อาหารและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

          3.หยุดให้น้ำเกลือแร่ เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น เช่น ถ่ายน้อยลงแล้วเป็นต้น หลังจากนั้นให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม โดยรับประทานครั้งละน้อย ๆ และเพิ่มจำนวนมื้อ

          4.ไม่ควรรับประทานยาเพื่อให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคยังคงอยู่ในร่างกาย ซึ่งจะเป็นอันตรายมากขึ้น

          5.หากภายใน 3 วัน อาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแทรกซ้อน ให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ โดยหากตรวจพบว่าเป็นไทฟอยด์ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น โคไตรม็อกซาโซล หรืออะม็อกซีซิลลิน โดยต้องทานต่อเนื่องนาน 14 วัน

วิธีป้องกัน โรคไทฟอยด์

          เราสามารถป้องกันโรคไทฟอยด์ได้ง่าย ๆ ด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

          1.งดเว้นการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม ควรทานอาหารที่ปรุงสด ๆ ใหม่ ๆ อยู่ในภาชนะที่ปิดมิดชิด รวมทั้งดื่มน้ำที่ต้มสุกแล้ว

          2.ก่อนการปรุงอาหาร รับประทานอาหารทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาดก่อน

          3.ล้างมือทุกครั้งหลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว

          4.ผู้ประกอบอาหาร รวมทั้งพนักงานเสิร์ฟอาหาร ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนจับอาหาร หรือภาชนะ รวมทั้งหมั่นดูแลรักษาความสะอาดสถานที่ประกอบอาหาร ภาชนะ อุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ และต้องกำจัดขยะมูลฝอย เศษอาหารทุกวัน ไม่ให้สกปรก จนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสัตว์ต่าง ๆ แต่หากมีอาการอุจจาระร่วง ต้องหยุดงานจนกว่าจะหายดี หรือตรวจไม่พบเชื้อในอุจจาระ

          5.ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค รวมทั้งผู้ที่มีคนใกล้ชิดเป็นพาหะของโรค

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินได้แต่ไม่ควรเกินวันละ 1 ซอง

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินได้แต่ไม่ควรเกินวันละ 1 ซอง

บะหมี่สำเร็จรูป
บะหมี่สำเร็จรูป

บะหมี่สำเร็จรูปกินได้แต่ไม่ควรเกินวันละ 1 ซอง (มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค)


          แนะกินบะหมี่อย่างปลอดภัย ไม่กินเกินวันละ 1 ซองควรจะใส่ไข่ ผัก หรือเนื้อสัตว์ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสารอาหารและป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป

          นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร บรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ ให้ความเห็นต่อการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปว่า นิตยสารฉลาดซื้อ เคยทำการสำรวจปริมาณโซเดียมหรือเกลือ อันตรายที่ซ่อนในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่าจากการเก็บตัวอย่าง จำนวน 32 ตัวอย่าง ฉบับที่ 68 มาทดสอบโดยสถาบันอาหาร เพื่อหาปริมาณโซเดียมที่มีอยู่ในเครื่องปรุงรส พบว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่มีปริมาณโซเดียมร้อยละ 50-100 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน และมีบางยี่ห้อที่ทำขนาดใหญ่กว่าปกติ ที่เรียกว่าบิ๊กแพ็ค พบว่ามีโซเดียมสูงถึงร้อยละ 112 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคแต่ละวัน

          "การบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากกว่า 1 ซองต่อวัน โดยใช้เครื่องปรุงทั้งซอง จะทำให้ได้รับโซเดียมมากเกินไป เพราะแต่ละวันจะได้รับปริมาณโซเดียมจากเครื่องปรุงต่าง ๆ เช่น ซีอิ๊ว น้ำปลา ซอส เกลือ สูงอยู่แล้ว ที่ผ่านมา เคยมีการวิจัยถึงปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของคนไทยในปี 2548 พบว่า มีมากถึง 120,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 9,500 ล้านบาท หากจะเทียบกับซองบะหมี่มาตรฐานที่บรรจุซองละ 60 กรัม หมายความว่าคนไทยบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึง 2,000 ล้านซองต่อปี โดยปัจจัยสนับสนุนให้คนไทยบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปจำนวนมาก น่าจะเป็นเพราะสินค้านี้มีหลายรส หลายระดับราคาให้เลือก ปรุงได้สะดวกรวดเร็ว" บรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อกล่าว

          ปริมาณโซเดียมที่แนะนำไว้ในบัญชีสารอาหาร ที่ควรบริโภคในแต่ละวันสำหรับคนไทย อยู่ที่ 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ขณะนี้การบริโภคเกินกว่ากำหนด และถือเป็นความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทำให้ เป็นโรคหัวใจ เพราะฉะนั้น จึงมีการทบทวนปริมาณโซเดียมที่ควรบริโภคต่อวัน โดยปริมาณใหม่ที่แนะนำให้บริโภคจะอยู่ที่ ผู้ชายควรบริโภค 475-1,475 มิลลิกรัม ผู้หญิงควรอยู่ที่ 400-1,200 มิลลิกรัม

          พร้อมแนะนำการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปว่าควรจะใส่ไข่ ผัก หรือเนื้อสัตว์ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสารอาหารและป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ไม่ควรทานบะหมี่สำเร็จรูปดิบ ๆ เพราะเส้นบะหมี่จะไปพองตัวในกระเพาะ อาจทำให้ท้องอืดได้ และไม่ควรทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากกว่าวันละ 1 ซอง เพื่อป้องกันโรคที่เกิดกับไต และโรคความดันโลหิต